ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้นทุกวัน การดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถกลายเป็นความท้าทายสำคัญขององค์กร สวัสดิการพนักงานจึงไม่ใช่แค่ “สิ่งที่มีให้” แต่กลายเป็น “ปัจจัยชี้ขาด” ในการตัดสินใจเลือกที่ทำงานของคนยุคใหม่
สวัสดิการของบริษัท คือผลประโยชน์เพิ่มเติมนอกเหนือจากเงินเดือนที่องค์กรมอบให้พนักงาน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะรายจ่ายที่คาดเดาไม่ได้ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน หรือการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต
ผลสำรวจพบว่าผู้สมัครงานในปัจจุบันให้น้ำหนักกับสวัสดิการมากกว่าแค่เงินเดือน หลายคนเลือกทำงานกับบริษัทที่เสนอค่าตอบแทนน้อยกว่าเล็กน้อย แต่มีสวัสดิการที่ครอบคลุมและคุ้มค่าในระยะยาว
Main points
- ในยุคที่การแข่งขันสูงและตลาดแรงงานเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว พนักงานไม่ได้มองแค่เงินเดือนเป็นหลักอีกต่อไป แต่ “สวัสดิการ” กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการเลือกงานและตัดสินใจอยู่กับองค์กรเดิมหรือไม่ โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต ความยืดหยุ่น และการดูแลทั้งกาย–ใจ
- บทความได้นำเสนอสวัสดิการที่ครอบคลุมทั้งพื้นฐาน (เช่น โบนัส OT ประกันสุขภาพ) และนวัตกรรมใหม่ ๆ (เช่น วันลาพักใจ สวัสดิการด้านสุขภาพจิต อุปกรณ์ ergonomic) ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มที่บริษัทต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์พนักงานในยุคปัจจุบัน เพื่อสร้างแรงจูงใจ และเสริมความสุขในการทำงาน
- ไม่ใช่ทุกองค์กรจะใช้สวัสดิการชุดเดียวกันได้สำเร็จ ดังนั้นบทความจึงแนะนำวิธีเลือกและออกแบบสวัสดิการให้สอดคล้องกับประเภทพนักงาน งบประมาณ และวัฒนธรรมองค์กร เพื่อให้การลงทุนในสวัสดิการเกิดประโยชน์สูงสุด ช่วยลดอัตราการลาออก และสร้างองค์กรที่น่าทำงานอย่างยั่งยืน
ทำไมสวัสดิการบริษัทถึงสำคัญต่อพนักงานยุคใหม่?

พนักงานยุคใหม่มองหาอะไรมากกว่าเงินเดือน? มาดูกันว่าทำไมสวัสดิการของบริษัทจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดและรักษาคนเก่งไว้ได้ในบทความนี้!
ลดภาระค่าใช้จ่ายจริง
สวัสดิการพนักงานบริษัทช่วยลดรายจ่ายสำคัญที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ซึ่งเป็นต้นทุนที่พนักงานต้องจ่ายอยู่แล้ว การที่บริษัทช่วยแบ่งเบาภาระนี้ ทำให้พนักงานมีเงินเหลือเก็บมากขึ้น
สร้างความมั่นคงให้ครอบครัว
สวัสดิการพนักงานโรงงานและองค์กรทั่วไปที่ครอบคลุมไปถึงครอบครัว เช่น ประกันสุขภาพสำหรับคู่สมรสและบุตร ช่วยให้พนักงานรู้สึกอุ่นใจว่าคนที่รักได้รับการดูแล
แสดงถึงวัฒนธรรมองค์กร
สวัสดิการที่พนักงานอยากได้สะท้อนให้เห็นว่าองค์กรให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของพนักงานอย่างแท้จริง ไม่ได้มองพนักงานเป็นแค่ “ทรัพยากร” แต่เป็น “คน” ที่มีชีวิตและความต้องการ
เช็กเลย! 10 อันดับสวัสดิการพนักงานยอดฮิต ที่บริษัทชั้นนำต้องมี ที่ดึงดูดคนทำงานมากที่สุด

ในยุคที่การแข่งขันด้านบุคลากรสูง บริษัทชั้นนำไม่ได้เสนอแค่เงินเดือน แต่ยังใช้สวัสดิการที่ ‘โดนใจ’ ที่ดึงดูดคนเก่งเข้ามาทำงาน มาดูกันว่า 10 อันดับสวัสดิการสุดฮิตที่คนทำงานยุคใหม่ต้องการมากที่สุด และเป็นมาตรฐานที่ทุกองค์กรไม่ควรมองข้าม!
1. โบนัสและการปรับเงินเดือนประจำปี
โบนัสประจำปีเป็นสวัสดิการที่พนักงานต้องการมากที่สุด เป็นเงินก้อนที่แยกจากเงินเดือนประจำ จ่ายตามผลประกอบการของบริษัทและผลงานของพนักงาน ทำหน้าที่เป็นทั้ง “รางวัล” สำหรับความพยายามตลอดปี และ “แรงจูงใจ” ให้ทำงานด้วยประสิทธิภาพสูงสุด
การปรับเงินเดือนประจำปีเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสวัสดิการพนักงานที่สร้างขวัญกำลังใจได้ดี แสดงให้เห็นว่าองค์กรประเมินมูลค่าของพนักงานอย่างเป็นธรรม และยินดีเพิ่มค่าตอบแทนให้สอดคล้องกับต้นทุนการครองชีพที่เพิ่มขึ้น
ประโยชน์สำหรับองค์กร:
- เพิ่มแรงจูงใจในการทำงาน
- ลดอัตราการลาออกของพนักงานที่มีศักยภาพ
- สร้างบรรยากาศการแข่งขันเชิงบวก
2. ประกันสังคม
ประกันสังคมเป็นสวัสดิการมีอะไรบ้างที่ถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญ ครอบคลุมสิทธิประโยชน์หลายด้าน:
- การรักษาพยาบาลและทันตกรรม
- เงินทดแทนกรณีว่างงาน
- เงินสงเคราะห์กรณีคลอดบุตร
- บำเหน็จบำนาญกรณีชราภาพ
- เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพหรือเสียชีวิต
สิทธิที่ได้รับขึ้นอยู่กับเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายในแต่ละเดือน โดยนายจ้างและลูกจ้างจ่ายร่วมกัน สร้างความมั่นคงให้พนักงานในระยะยาว
3. วันหยุดและวันลาตามกฎหมาย
สวัสดิการพนักงานตามกฎหมายแรงงานที่ทุกบริษัทต้องมอบให้ ได้แก่:
- วันลาพักผ่อนประจำปี: ไม่น้อยกว่า 6 วันต่อปี
- วันลากิจ: ไม่น้อยกว่า 3 วันทำงานต่อปี
- วันลาป่วย: ไม่เกิน 30 วันต่อปี
- วันลาคลอดบุตร: 120 วัน (รวมวันหยุด)
- วันลาเพื่อช่วยเหลือดูแลแม่และทารก: 15 วันทำการ
- วันลาบวช: 60-120 วัน (ขึ้นอยู่กับนโยบายบริษัท)
4. ค่าล่วงเวลา (OT)
สำหรับตำแหน่งงานที่มีโอกาสทำงานนอกเวลา การจ่ายค่าล่วงเวลาตามกฎหมายเป็นสวัสดิการพนักงานบริษัท มีอะไรบ้างที่สร้างความเป็นธรรม
อัตราค่าล่วงเวลาตามกฎหมาย:
- วันทำงานปกติ: 1.5 เท่าของค่าจ้างต่อชั่วโมง
- วันหยุด: 2-3 เท่าของค่าจ้างต่อชั่วโมง
การจ่ายค่า OT อย่างชัดเจนช่วยให้พนักงานรู้สึกว่าความพยายามได้รับการตอบแทนอย่างเหมาะสม ไม่ถูกเอาเปรียบ สร้างแรงจูงใจในการทำงานเต็มที่
5. ประกันสุขภาพกลุ่ม
แม้ประกันสังคมจะครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลพื้นฐาน แต่สวัสดิการของบริษัทที่เพิ่มประกันสุขภาพกลุ่มจะช่วยคุ้มครองในส่วนที่สิทธิประกันสังคมไม่ครอบคลุม
ข้อดีของประกันสุขภาพกลุ่ม:
- เลือกใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนได้
- ห้องพักและการรักษาระดับดีกว่า
- ไม่ต้องรอคิวนาน ประหยัดเวลา
- ครอบคลุมค่ารักษาที่สูงกว่า
- สร้างความรู้สึกปลอดภัยให้พนักงาน
สวัสดิการบริษัทใหญ่มักขยายความคุ้มครองไปถึงครอบครัวพนักงานด้วย เป็นจุดขายสำคัญในการดึงดูดคนเก่ง
6. ค่ารักษาพยาบาลสำหรับครอบครัว
สวัสดิการพนักงานที่น่าสนใจที่ขยายความช่วยเหลือไปถึงครอบครัว แสดงให้เห็นว่าองค์กรเข้าใจว่าพนักงานมีความรับผิดชอบต่อคนที่รัก
ตัวอย่างความช่วยเหลือครอบครัว:
- ค่ารักษาพยาบาลบิดามารดา คู่สมรส บุตร
- เงินช่วยเหลือการคลอดบุตร (ค่าทำขวัญ)
- เงินช่วยเหลือกรณีเสียชีวิต (ช่วยงานศพ)
- ทุนการศึกษาบุตร
- ของขวัญวันเด็ก วันปีใหม่
สวัสดิการเหล่านี้สร้างความผูกพันระหว่างองค์กรกับพนักงานในระดับลึก ทำให้พนักงานรู้สึกว่าบริษัทดูแลทั้งชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว
7. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
สวัสดิการพนักงานที่น่าสนใจสำหรับการวางแผนอนาคต กองทุนสำรองเลี้ยงชีพช่วยให้พนักงานออมเงินอย่างมีวินัย โดยหักจากเงินเดือนเป็นประจำ พร้อมเงินสมทบจากบริษัท
ประโยชน์ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ:
- บังคับออมอัตโนมัติทุกเดือน
- ได้เงินสมทบจากบริษัทเพิ่ม
- ลดหย่อนภาษีได้
- มีผลตอบแทนจากการลงทุน
- สร้างฐานการเงินที่มั่นคงสำหรับเกษียณ
พนักงานสามารถเลือกอัตราการออมได้ตามความสามารถ และเมื่อลาออกหรือเกษียณก็จะได้รับเงินก้อนกลับคืน พร้อมผลตอบแทน
8. ประกันชีวิตกลุ่ม
ประกันชีวิตเป็นงานสวัสดิการมีอะไรบ้างที่สร้างความอุ่นใจให้พนักงานและครอบครัว โดยเฉพาะพนักงานที่เป็นหัวหน้าครอบครัว
ความคุ้มครองจากประกันชีวิตกลุ่ม:
- กรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย
- กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
- กรณีทุพพลภาพถาวร
- ไม่ต้องตรวจสุขภาพ (ขึ้นกับนโยบายบริษัทประกัน)
- เบี้ยประกันถูกกว่าซื้อเอง
สวัสดิการนี้ช่วยดึงดูดพนักงานที่มีความสามารถ โดยเฉพาะคนที่มีครอบครัวแล้ว ทำให้รู้สึกมั่นใจว่าหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน คนที่รักจะได้รับการดูแล
9. เวลาทำงานที่ยืดหยุ่น (Flexible Working Hours)
สวัสดิการพนักงานยุคใหม่ที่ตอบโจทย์ชีวิต Work-Life Balance เวลาทำงานแบบยืดหยุ่นช่วยให้พนักงานสามารถจัดการชีวิตส่วนตัวได้ดีขึ้น
รูปแบบการทำงานยืดหยุ่น:
- Flextime: เลื่อนเวลาเข้า-ออกงานได้ภายในกรอบที่กำหนด
- Core Hours: กำหนดช่วงเวลาหลักที่ต้องอยู่ ส่วนที่เหลือจัดเองได้
- Compressed Work Week: ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ แต่ชั่วโมงเท่าเดิม
- Work from Home: ทำงานที่บ้านบางวันหรือทุกวัน
สวัสดิการแปลกใหม่ที่น่าสนใจนี้ช่วยลดความเครียดจากการเดินทาง ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มเวลาพักผ่อน และยังช่วยให้พนักงานทำงานในช่วงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ส่งผลให้คุณภาพงานดีขึ้น
10. เบี้ยขยัน และโบนัสตามผลงาน
สวัสดิการพนักงานควรมีอะไรบ้างที่กระตุ้นให้ทำงานอย่างเต็มที่ เบี้ยขยันเป็นคำตอบที่ดี
เกณฑ์การจ่ายเบี้ยขยัน:
- มาทำงานตรงเวลาทุกวัน
- ไม่ลาป่วย ลากิจ เกินที่กำหนด
- ทำงานครบตามเวลาที่กำหนด
- มีผลงานตามเป้าหมาย
เบี้ยขยันช่วยลดปัญหาการมาสาย การขาดงาน และสร้างนิสัยการทำงานที่ดีให้พนักงาน พร้อมเป็นรายได้เพิ่มให้กับคนที่ทำงานด้วยความตั้งใจ
เปิดวาร์ป 6 สวัสดิการพนักงานสุดว้าว ที่บริษัทชั้นนำใช้มัดใจคนเก่ง
เดี๋ยวนี้แค่มีประกันสังคมหรือลาพักร้อนธรรมดา ๆ มันไม่พอแล้ว! บริษัทที่เขาเจ๋งจริง ๆ เขาไม่ได้ให้แค่เงินเดือน แต่ให้ “คุณภาพชีวิต” ที่ดีกับพนักงานด้วย วันนี้เราจะพาไปดูกันว่า นอกเหนือจากสวัสดิการพื้นฐานที่บริษัททั่วไปมีให้ บริษัทเจ๋ง ๆ เขามีอะไรที่น่าสนใจและเข้าใจคนทำงานยุคใหม่บ้าง มาดูกัน
1. หมวดการให้รางวัลและสิ่งตอบแทนพิเศษ
- ของขวัญต้อนรับน้องใหม่ (Welcome Kit): ได้กล่องของขวัญสุดเท่ มีอุปกรณ์ทำงานดี ๆ ต้อนรับตั้งแต่ก้าวแรก
- ของขวัญฉลองวันครบรอบทำงาน: ทุกปีที่อยู่ด้วยกัน บริษัทจะมีของขวัญพิเศษให้ เพื่อขอบคุณที่เราทุ่มเท
- ส่วนลดสินค้า/บริการบริษัท: ได้ซื้อของหรือใช้บริการของบริษัทในราคาถูกกว่า
2. หมวดดูแลสุขภาพ กายดี ใจพร้อม ลุยงานต่อได้ไม่สะดุด
- อุปกรณ์ทำงานเพื่อสุขภาพ (Ergonomic Gear): บริษัทซื้อเก้าอี้ดี ๆ หรืออุปกรณ์ที่ช่วยให้เรานั่งทำงานได้สบาย ไม่ปวดหลัง
- สวัสดิการนวดและกายภาพบำบัด: บางทีมีนักกายภาพเข้ามานวดให้ที่ออฟฟิศเลย หรือออกค่านวดให้
- สวัสดิการฟิตเนส / ออกกำลังกาย: จ่ายค่าสมาชิกยิมให้ หรือมีคลาสออกกำลังกายที่ออฟฟิศ
- สวัสดิการด้านสุขภาพจิต (Mental Health Support): มีนักจิตวิทยาให้คำปรึกษาฟรี แบบส่วนตัวสุด ๆ เมื่อรู้สึกเครียดหรือมีปัญหาชีวิต
- Nap Room ให้พนักงานงีบพัก: มีห้องนอนเล็ก ๆ หรือเก้าอี้สบาย ๆ ให้นอนงีบสั้น ๆ เติมพลังช่วงบ่าย
3. หมวดวันหยุดและวันลา มีธุระเรื่องใจ หรือเรื่องจำเป็น ก็ลาได้!
- ลาพักใจ (Mental Health Day): วันลาพิเศษที่เอาไว้พักผ่อนจิตใจ ไม่สบายใจ อยากอยู่คนเดียว ก็ลาได้เลย
- ลาวันประจำเดือน: วันลาที่ให้ผู้หญิงได้พักผ่อนเมื่อมีอาการปวดท้องประจำเดือน
- ลาเยี่ยมญาติสำหรับคุณพ่อคุณแม่: ลาไปดูแลพ่อแม่หรือคนในครอบครัวที่ป่วย
- ลาหยุดวันเกิด: วันเกิดปีนี้ ไม่ต้องทำงาน! ลาหยุดไปฉลองได้เลย
4. หมวดเงินสนับสนุนพิเศษ เงินเปย์ ที่ช่วยให้ชีวิตไม่ติดขัด
- ค่าที่พัก ค่าน้ำมันและค่าเดินทาง: ช่วยสนับสนุนค่าเดินทาง ค่าน้ำมันรถ หรือค่าเช่าที่พักให้บางส่วน
- เงินสนับสนุนค่าไฟ / ค่าอินเทอร์เน็ต: ให้เงินช่วยสำหรับคนที่ต้องทำงานจากที่บ้าน (Work From Home)
- เงินช่วยเหลือที่อยู่อาศัย: อาจเป็นการช่วยเหลือเงินดาวน์ หรือดอกเบี้ยพิเศษสำหรับที่พักอาศัย
- เงินช่วยเหลืองานแต่ง งานบวช และงานศพ: ช่วยเหลือเงินในโอกาสสำคัญของชีวิต
- งบพิเศษสำหรับซื้อของเพิ่ม Productivity: มีงบสนับสนุนให้ไปซื้ออุปกรณ์/ซอฟต์แวร์ที่เราใช้แล้วทำงานได้ดีขึ้น
5. หมวดส่งเสริมความรู้ เก่งขึ้น ได้เงินมากขึ้น!
- Training และ Workshop: ส่งไปเข้าอบรมหรือจัดเวิร์กช็อปให้พัฒนาทักษะใหม่ ๆ
- คอร์สให้คำปรึกษาด้านการเงินและการลงทุน: จัดผู้เชี่ยวชาญมาสอนวิธีเก็บเงิน วิธีลงทุน ให้พนักงานมีเงินใช้หลังเกษียณ
6. หมวดอาหารและขนม อิ่มท้อง มีพลังในการทำงาน
- อาหารเช้า อาหารกลางวัน ขนม หรือชา กาแฟฟรี: มีอาหารดี ๆ ขนมอร่อย ๆ กาแฟพรีเมียม หรือชามัทฉะ ไว้ให้กินฟรีตลอดวัน
- เครื่องดื่มและผลไม้ออฟฟิศฟรี: ผลไม้สด ๆ เครื่องดื่มเย็น ๆ น้ำอัดลม หรือน้ำผลไม้เย็นๆ เติมความสดชื่นได้ตลอด
- เมนูพิเศษในวันเกิดพนักงาน: มีการเลี้ยงฉลอง มอบของขวัญ หรือสั่งเค้กพิเศษให้ในวันเกิด
เปรียบเทียบสวัสดิการพนักงานโรงงานและออฟฟิศ
สวัสดิการของพนักงานโรงงานมักมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากสวัสดิการงานออฟฟิศ เนื่องจากความแตกต่างของสภาพแวดล้อม ลักษณะงาน และระดับความเสี่ยงที่ต้องเผชิญ
| หมวดหมู่ | สวัสดิการหลักที่เน้นในโรงงาน (Field Worker) | สวัสดิการหลักที่เน้นในออฟฟิศ (Desk Worker) |
| ความปลอดภัย/สุขภาพ | ประกันอุบัติเหตุกลุ่มวงเงินสูง (จากความเสี่ยงเครื่องจักร), PPE คุณภาพดี, ห้องพยาบาล | ประกันสุขภาพ/ทันตกรรมเพิ่มเติม, ตรวจสุขภาพประจำปีเชิงลึก |
| แรงจูงใจ/ค่าตอบแทน | เบี้ยขยัน (สำคัญต่อการควบคุมการผลิต), โบนัสตามผลผลิต/KPI การผลิต | โบนัสตามผลประกอบการบริษัท, ค่าคอมมิชชัน/Incentive ตามยอดขาย |
| สิ่งอำนวยความสะดวก | รถรับส่ง (สำหรับทำงานกะ), อาหารกลางวัน/อาหารว่าง, ห้องอาบน้ำและล็อกเกอร์ | Flexible Working Hour/Work From Home, อุปกรณ์ IT, สิทธิลาพักร้อนเพิ่ม |
| ที่พักอาศัย | ที่พัก/หอพัก สำหรับพนักงานต่างจังหวัด หรือค่าเช่าบ้าน | ค่าเดินทาง (BTS/MRT) หรือที่จอดรถ |
วิธีเลือกสวัสดิการที่เหมาะกับองค์กร

การออกแบบสวัสดิการให้มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่การลอกเลียนแบบ แต่ต้องเข้าใจลักษณะธุรกิจ วัฒนธรรม และความต้องการที่แท้จริงของพนักงาน เพื่อให้เงินทุกบาทคุ้มค่า มาดูขั้นตอนและหลักเกณฑ์สำคัญในการคัดเลือกชุดสวัสดิการที่ลงตัวที่สุด ซึ่งช่วยดึงดูดและรักษาบุคลากรให้เติบโตไปพร้อมกับองค์กรอย่างยั่งยืน
วิเคราะห์กลุ่มพนักงาน
องค์กรควรศึกษาว่าพนักงานส่วนใหญ่เป็นใคร:
- ช่วงอายุเท่าไร (Gen X, Y, Z)
- มีครอบครัวหรือโสด
- ระดับรายได้และตำแหน่ง
- สถานที่อยู่อาศัย
สำรวจความต้องการ
ทำแบบสอบถามหรือสัมภาษณ์เพื่อถามว่า:
- ต้องการสวัสดิการอะไรมากที่สุด
- สวัสดิการปัจจุบันตัวไหนใช้ ตัวไหนไม่ใช้
- มีข้อเสนอแนะอะไรบ้าง
ดูมาตรฐานอุตสาหกรรม
เปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันว่าเขาให้อะไรบ้าง เพื่อไม่ให้สวัสดิการต่ำกว่าตลาด
คำนวณงบประมาณ
กำหนดว่าบริษัทสามารถลงทุนกับสวัสดิการได้เท่าไร โดยดูจาก:
- กำไรสุทธิของบริษัท
- จำนวนพนักงานทั้งหมด
- อัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง (เช่น ลด turnover ได้กี่เปอร์เซ็นต์)
หยุดมองสวัสดิการพนักงานเป็น ‘ค่าใช้จ่าย’! สร้างแรงจูงใจ พร้อมจัดเต็มด้วยสินค้าที่เติมเต็มและสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานกับ OFM
สวัสดิการพนักงานไม่ควรถูกมองว่าเป็นแค่ “ค่าใช้จ่าย” แต่คือ “การลงทุน” ที่สำคัญที่สุดในทรัพยากรบุคคล การจัดสรรสวัสดิการที่ดีช่วยดึงดูดคนเก่งเข้ามาในองค์กร รักษาพนักงานที่มีคุณภาพไว้ได้นานขึ้น เพิ่มแรงจูงใจและประสิทธิภาพในการทำงาน ลดภาระในการสรรหาคนใหม่
และสร้างภาพลักษณ์องค์กรที่น่าเชื่อถือ ผลลัพธ์ที่ได้คือความภักดีของพนักงานและประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้นซึ่งเป็นรากฐานของการเติบโตที่ยั่งยืน
แม้การบริหารจัดการจะซับซ้อน แต่เทคโนโลยีช่วยให้ง่ายขึ้นมาก การดูแลพนักงานให้พร้อมทำงานถือเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการหลัก หรือแม้แต่การเตรียมอุปกรณ์สำนักงานพื้นฐาน
เลือกซื้อสินค้าคุณภาพดีจาก OFM เพื่อให้พนักงานของคุณมีเครื่องมือทำงานที่ครบครันและพร้อมสร้างผลงานที่ดีที่สุดให้กับองค์กรของคุณ
🎉 ข่าวดีรับสิ้นปี! ข้อเสนอสุดคุ้มจาก GoWabi x OfficeMate (OFM)
สำหรับผู้ประกอบการและคนทำงานที่กำลังมองหาอุปกรณ์สำนักงานครบวงจรคุณภาพเยี่ยมและราคาคุ้มค่า ห้ามพลาด!
เพียงแค่ 3 ขั้นตอนง่ายๆ:
- เลือกซื้อสินค้าจาก OfficeMate (OFM) ให้ครบ 499 บาท ขึ้นไป
- ใส่โค้ดส่วนลด OFMGWB
- รับส่วนลดไปเลย 15% สูงสุดถึง 150 บาท!
รีบใช้สิทธิ์ได้เลยตั้งแต่วันนี้ถึงธันวาคม 2568 (ยกเว้นสินค้าบางประเภท) ทำให้ทุกการลงทุนเพื่อธุรกิจของคุณคุ้มค่าที่สุด!


