Phetcharut Clinic

1. ปรึกษาแพทย์

2. ตรวจแมะ: ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนการวินิจฉัยโรคของแพทย์แผนจีน โดยการใช้นิ้วทั้ง 3 นิ้วของแพทย์แตะสัมผัสชีพจรของผู้ป่วยบริเวณข้อมือซ้ายและขวาข้างละ 3 ตำแหน่ง รวมทั้งสองข้าง หกตำแหน่ง เพื่อให้ทราบถึงสภาวะของร่างกายที่ตอบสนองต่อโรคภัยไข้เจ็บในขณะนั้นการแพทย์แผนจีนเรียกขั้นตอนการวินิจฉัยโรคพื้นฐานว่า “เปี้ยนเจิง” มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน การแมะ หรือการตรวจจับชีพจรนั้นถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวินิจฉัยโรค ซึ่งกว่าจะถึงขั้นตอนของการแมะ มี 3 ขั้นตอน

3.ฝังเข็มรักษาโรค: การฝังเข็มคือ การแทงเข็มลงไปบนจุดฝังเข็มตามร่างกายโดยใช้หลักการรักษาของแพทย์แผนจีน โดยเข็มที่ใช้จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็กกว่าเข็มฉีดยา จึงทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย และเป็นเข็มปลอดเชื้อแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ผู้ป่วยจึงปลอดภัยจากการติดเชื้อ

4. กระตุ้นไฟฟ้า: เป็นการรักษาอาการปวดของกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ ได้ทั้งแบบชนิดเรื้อรัง และแบบเฉียบพลัน ซึ่งวิธีการรักษาจะนำขั้ว Electrode pad ติดตรงตำแหน่งที่มีอาการเจ็บปวด จากนั้นนักกายภาพบำบัดจะปรับเลือกการรักษาตามอาการ โดยการทำงานของเครื่องจะมีการปล่อยกระแสไฟฟ้าที่มีความถี่ที่เหมาะสมออกมา ลดอาการปวดของกล้ามเนื้อ ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยจะนิยมใช้ เครื่องกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนังเพื่อลดปวด (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation :TENS) ส่วนใหญ่ให้ผลในการลดปวด โดยกระตุ้นเส้นประสาทรับความรู้สึกมากกว่ากระตุ้นเส้นประสาทยยนต์

5. โคมไฟอินฟาเรด: เป็นการขจัดสารพิษที่ตกค้างตามชั้นผิวหนังในชั้นเนื้อเยื่อและในกระแสเลือด ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด อีกทั้งยังลดอาการปวดบวมของกล้ามเนื้อ โดยใช้คลื่นอินฟาเรดในการให้บริการ นอกจากคุณประโยชน์ที่มากมายต่อสุขภาพภายในร่างกายแล้ว ยังรวมถึงการเผาผลาญแคลอรี่ได้ถึง 600 - 900 แคลอรี่ต่อครั้ง ซึ่งจะช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินหรือไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายอันเป็นสาเหตุหนึ่งของสุขภาพที่ไม่ดี

6. รมยาสมุนไพร: การรมยา (Moxibustion) คือการรักษาโรคด้วยการเผาสมุนไพรโกศจุฬาลัมพาแล้วนำมารมบริเวณจุดฝังเข็มตามตำแหน่งของเส้นลมปราณ การรมยาสามารถปรับสมดุลหยินหยาง ปรับสมดุลพลังชี่และเลือด อบอุ่นขับเคลื่อนเส้นลมปราณ บำรุงพลังชี่และขจัดพิษภายในร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียนของพลังและเส้นลมปราณ รวมไปถึงช่วยในเรื่องความงาม และการดูแลสุขภาพอีกด้วยอีกทั้งยังสามารถป้องกันโรคได้

7. ครอบแก้ว: Cupping ครอบแก้วลดอาการปวด ตำรับแพทย์แผนจีนโบราณจากร้าน "สวนกวางตุ้งคลินิก" ที่จะเอาแก้วครอบลงบนผิว จากนั้นจึงลดความดันภายในโดยการใช้ความร้อนหรือการดูดอากาศออกจนผิวหนังและกล้ามเนื้อถูกดูดเข้าไปในแก้ว โดยทางร้านจะใช้ Baby Oil ทาลงบนผิวหนังก่อนเพื่อให้การเคลื่อนแก้วเป็นไปโดยง่ายขึ้น โดยแก้วอาจถูกครอบนานประมาณ 5-15 นาที (แล้วแต่อาการของคนไข้) จากนั้นเมื่อเอาแก้วที่ครอบออกแล้วผิวจะแดงช้ำ นั่นหมายความว่าเลือดคั่งอย่างจงใจ เพื่อผลลัพธ์ทีดีขึ้น โดยลักษณะของแก้วนั้นมีหลายขนาด ซึ่งทางคุณหมอจะเลือกขนาดของแก้วตามความเหมาะสมของคนไข้ จึงมั่นใจได้

1. ปรึกษาแพทย์

2. ตรวจแมะ: ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนการวินิจฉัยโรคของแพทย์แผนจีน โดยการใช้นิ้วทั้ง 3 นิ้วของแพทย์แตะสัมผัสชีพจรของผู้ป่วยบริเวณข้อมือซ้ายและขวาข้างละ 3 ตำแหน่ง รวมทั้งสองข้าง หกตำแหน่ง เพื่อให้ทราบถึงสภาวะของร่างกายที่ตอบสนองต่อโรคภัยไข้เจ็บในขณะนั้นการแพทย์แผนจีนเรียกขั้นตอนการวินิจฉัยโรคพื้นฐานว่า “เปี้ยนเจิง” มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน การแมะ หรือการตรวจจับชีพจรนั้นถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวินิจฉัยโรค ซึ่งกว่าจะถึงขั้นตอนของการแมะ มี 3 ขั้นตอน

3. ครอบแก้ว: Cupping ครอบแก้วลดอาการปวด ตำรับแพทย์แผนจีนโบราณจากร้าน "สวนกวางตุ้งคลินิก" ที่จะเอาแก้วครอบลงบนผิว จากนั้นจึงลดความดันภายในโดยการใช้ความร้อนหรือการดูดอากาศออกจนผิวหนังและกล้ามเนื้อถูกดูดเข้าไปในแก้ว โดยทางร้านจะใช้ Baby Oil ทาลงบนผิวหนังก่อนเพื่อให้การเคลื่อนแก้วเป็นไปโดยง่ายขึ้น โดยแก้วอาจถูกครอบนานประมาณ 5-15 นาที (แล้วแต่อาการของคนไข้) จากนั้นเมื่อเอาแก้วที่ครอบออกแล้วผิวจะแดงช้ำ นั่นหมายความว่าเลือดคั่งอย่างจงใจ เพื่อผลลัพธ์ทีดีขึ้น โดยลักษณะของแก้วนั้นมีหลายขนาด ซึ่งทางคุณหมอจะเลือกขนาดของแก้วตามความเหมาะสมของคนไข้ จึงมั่นใจได้ว่าจะได้รักการรักษาอย่างตรงจุด โดยรอยแดงช้ำนั้นจะจางหายไปเองภายในเวลา 1-2 อาทิตย์

ผลลัพธ์หลังจากการคลอบแก้ว?

- การครอบแก้วมีผลช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย

- ช่วยกระตุ้นกลไกการอักเสบเฉพาะที่และเพิ่มการไหลเวียนของน้ำเหลือง

- ช่วยรักษาอาการปวดต่าง ๆ ทั้งการปวดในระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ เช่น อาการปวดคอ ปวดหลัง

- ช่วยรักษาอาการปวดของเส้นประสาทเช่น ปวดจากงูสวัด เป็นต้น

1. ปรึกษาแพทย์

2. ตรวจแมะ: ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนการวินิจฉัยโรคของแพทย์แผนจีน โดยการใช้นิ้วทั้ง 3 นิ้วของแพทย์แตะสัมผัสชีพจรของผู้ป่วยบริเวณข้อมือซ้ายและขวาข้างละ 3 ตำแหน่ง รวมทั้งสองข้าง หกตำแหน่ง เพื่อให้ทราบถึงสภาวะของร่างกายที่ตอบสนองต่อโรคภัยไข้เจ็บในขณะนั้นการแพทย์แผนจีนเรียกขั้นตอนการวินิจฉัยโรคพื้นฐานว่า “เปี้ยนเจิง” มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน การแมะ หรือการตรวจจับชีพจรนั้นถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวินิจฉัยโรค ซึ่งกว่าจะถึงขั้นตอนของการแมะ มี 3 ขั้นตอน

3.ฝังเข็มรักษาโรค: การฝังเข็มคือ การแทงเข็มลงไปบนจุดฝังเข็มตามร่างกายโดยใช้หลักการรักษาของแพทย์แผนจีน โดยเข็มที่ใช้จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็กกว่าเข็มฉีดยา จึงทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย และเป็นเข็มปลอดเชื้อแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ผู้ป่วยจึงปลอดภัยจากการติดเชื้อ

4. กระตุ้นไฟฟ้า: เป็นการรักษาอาการปวดของกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ ได้ทั้งแบบชนิดเรื้อรัง และแบบเฉียบพลัน ซึ่งวิธีการรักษาจะนำขั้ว Electrode pad ติดตรงตำแหน่งที่มีอาการเจ็บปวด จากนั้นนักกายภาพบำบัดจะปรับเลือกการรักษาตามอาการ โดยการทำงานของเครื่องจะมีการปล่อยกระแสไฟฟ้าที่มีความถี่ที่เหมาะสมออกมา ลดอาการปวดของกล้ามเนื้อ ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยจะนิยมใช้ เครื่องกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนังเพื่อลดปวด (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation :TENS) ส่วนใหญ่ให้ผลในการลดปวด โดยกระตุ้นเส้นประสาทรับความรู้สึกมากกว่ากระตุ้นเส้นประสาทยยนต์

5. โคมไฟอินฟาเรด: เป็นการขจัดสารพิษที่ตกค้างตามชั้นผิวหนังในชั้นเนื้อเยื่อและในกระแสเลือด ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด อีกทั้งยังลดอาการปวดบวมของกล้ามเนื้อ โดยใช้คลื่นอินฟาเรดในการให้บริการ นอกจากคุณประโยชน์ที่มากมายต่อสุขภาพภายในร่างกายแล้ว ยังรวมถึงการเผาผลาญแคลอรี่ได้ถึง 600 - 900 แคลอรี่ต่อครั้ง ซึ่งจะช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินหรือไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายอันเป็นสาเหตุหนึ่งของสุขภาพที่ไม่ดี

6. รมยาสมุนไพร: การรมยา (Moxibustion) คือการรักษาโรคด้วยการเผาสมุนไพรโกศจุฬาลัมพาแล้วนำมารมบริเวณจุดฝังเข็มตามตำแหน่งของเส้นลมปราณ การรมยาสามารถปรับสมดุลหยินหยาง ปรับสมดุลพลังชี่และเลือด อบอุ่นขับเคลื่อนเส้นลมปราณ บำรุงพลังชี่และขจัดพิษภายในร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียนของพลังและเส้นลมปราณ รวมไปถึงช่วยในเรื่องความงาม และการดูแลสุขภาพอีกด้วยอีกทั้งยังสามารถป้องกันโรคได้

1. ปรึกษาแพทย์

2. ตรวจแมะ: ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนการวินิจฉัยโรคของแพทย์แผนจีน โดยการใช้นิ้วทั้ง 3 นิ้วของแพทย์แตะสัมผัสชีพจรของผู้ป่วยบริเวณข้อมือซ้ายและขวาข้างละ 3 ตำแหน่ง รวมทั้งสองข้าง หกตำแหน่ง เพื่อให้ทราบถึงสภาวะของร่างกายที่ตอบสนองต่อโรคภัยไข้เจ็บในขณะนั้นการแพทย์แผนจีนเรียกขั้นตอนการวินิจฉัยโรคพื้นฐานว่า “เปี้ยนเจิง” มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน การแมะ หรือการตรวจจับชีพจรนั้นถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวินิจฉัยโรค ซึ่งกว่าจะถึงขั้นตอนของการแมะ มี 3 ขั้นตอน

3.ฝังเข็มรักษาโรค: การฝังเข็มคือ การแทงเข็มลงไปบนจุดฝังเข็มตามร่างกายโดยใช้หลักการรักษาของแพทย์แผนจีน โดยเข็มที่ใช้จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็กกว่าเข็มฉีดยา จึงทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย และเป็นเข็มปลอดเชื้อแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ผู้ป่วยจึงปลอดภัยจากการติดเชื้อ

4. กระตุ้นไฟฟ้า: เป็นการรักษาอาการปวดของกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ ได้ทั้งแบบชนิดเรื้อรัง และแบบเฉียบพลัน ซึ่งวิธีการรักษาจะนำขั้ว Electrode pad ติดตรงตำแหน่งที่มีอาการเจ็บปวด จากนั้นนักกายภาพบำบัดจะปรับเลือกการรักษาตามอาการ โดยการทำงานของเครื่องจะมีการปล่อยกระแสไฟฟ้าที่มีความถี่ที่เหมาะสมออกมา ลดอาการปวดของกล้ามเนื้อ ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยจะนิยมใช้ เครื่องกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนังเพื่อลดปวด (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation :TENS) ส่วนใหญ่ให้ผลในการลดปวด โดยกระตุ้นเส้นประสาทรับความรู้สึกมากกว่ากระตุ้นเส้นประสาทยยนต์

5. โคมไฟอินฟาเรด: เป็นการขจัดสารพิษที่ตกค้างตามชั้นผิวหนังในชั้นเนื้อเยื่อและในกระแสเลือด ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด อีกทั้งยังลดอาการปวดบวมของกล้ามเนื้อ โดยใช้คลื่นอินฟาเรดในการให้บริการ นอกจากคุณประโยชน์ที่มากมายต่อสุขภาพภายในร่างกายแล้ว ยังรวมถึงการเผาผลาญแคลอรี่ได้ถึง 600 - 900 แคลอรี่ต่อครั้ง ซึ่งจะช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินหรือไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายอันเป็นสาเหตุหนึ่งของสุขภาพที่ไม่ดี

6. รมยาสมุนไพร: การรมยา (Moxibustion) คือการรักษาโรคด้วยการเผาสมุนไพรโกศจุฬาลัมพาแล้วนำมารมบริเวณจุดฝังเข็มตามตำแหน่งของเส้นลมปราณ การรมยาสามารถปรับสมดุลหยินหยาง ปรับสมดุลพลังชี่และเลือด อบอุ่นขับเคลื่อนเส้นลมปราณ บำรุงพลังชี่และขจัดพิษภายในร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียนของพลังและเส้นลมปราณ รวมไปถึงช่วยในเรื่องความงาม และการดูแลสุขภาพอีกด้วยอีกทั้งยังสามารถป้องกันโรคได้

1. ปรึกษาแพทย์

2. ตรวจแมะ: ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนการวินิจฉัยโรคของแพทย์แผนจีน โดยการใช้นิ้วทั้ง 3 นิ้วของแพทย์แตะสัมผัสชีพจรของผู้ป่วยบริเวณข้อมือซ้ายและขวาข้างละ 3 ตำแหน่ง รวมทั้งสองข้าง หกตำแหน่ง เพื่อให้ทราบถึงสภาวะของร่างกายที่ตอบสนองต่อโรคภัยไข้เจ็บในขณะนั้นการแพทย์แผนจีนเรียกขั้นตอนการวินิจฉัยโรคพื้นฐานว่า “เปี้ยนเจิง” มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน การแมะ หรือการตรวจจับชีพจรนั้นถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวินิจฉัยโรค ซึ่งกว่าจะถึงขั้นตอนของการแมะ มี 3 ขั้นตอน

3.ฝังเข็มรักษาโรค: การฝังเข็มคือ การแทงเข็มลงไปบนจุดฝังเข็มตามร่างกายโดยใช้หลักการรักษาของแพทย์แผนจีน โดยเข็มที่ใช้จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็กกว่าเข็มฉีดยา จึงทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย และเป็นเข็มปลอดเชื้อแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ผู้ป่วยจึงปลอดภัยจากการติดเชื้อ

4. กระตุ้นไฟฟ้า: เป็นการรักษาอาการปวดของกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ ได้ทั้งแบบชนิดเรื้อรัง และแบบเฉียบพลัน ซึ่งวิธีการรักษาจะนำขั้ว Electrode pad ติดตรงตำแหน่งที่มีอาการเจ็บปวด จากนั้นนักกายภาพบำบัดจะปรับเลือกการรักษาตามอาการ โดยการทำงานของเครื่องจะมีการปล่อยกระแสไฟฟ้าที่มีความถี่ที่เหมาะสมออกมา ลดอาการปวดของกล้ามเนื้อ ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยจะนิยมใช้ เครื่องกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนังเพื่อลดปวด (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation :TENS) ส่วนใหญ่ให้ผลในการลดปวด โดยกระตุ้นเส้นประสาทรับความรู้สึกมากกว่ากระตุ้นเส้นประสาทยยนต์

5 โคมไฟอินฟาเรด: เป็นการขจัดสารพิษที่ตกค้างตามชั้นผิวหนังในชั้นเนื้อเยื่อและในกระแสเลือด ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด อีกทั้งยังลดอาการปวดบวมของกล้ามเนื้อ โดยใช้คลื่นอินฟาเรดในการให้บริการ นอกจากคุณประโยชน์ที่มากมายต่อสุขภาพภายในร่างกายแล้ว ยังรวมถึงการเผาผลาญแคลอรี่ได้ถึง 600 - 900 แคลอรี่ต่อครั้ง ซึ่งจะช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินหรือไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายอันเป็นสาเหตุหนึ่งของสุขภาพที่ไม่ดี

6. รมยาสมุนไพร: การรมยา (Moxibustion) คือการรักษาโรคด้วยการเผาสมุนไพรโกศจุฬาลัมพาแล้วนำมารมบริเวณจุดฝังเข็มตามตำแหน่งของเส้นลมปราณ การรมยาสามารถปรับสมดุลหยินหยาง ปรับสมดุลพลังชี่และเลือด อบอุ่นขับเคลื่อนเส้นลมปราณ บำรุงพลังชี่และขจัดพิษภายในร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียนของพลังและเส้นลมปราณ รวมไปถึงช่วยในเรื่องความงาม และการดูแลสุขภาพอีกด้วยอีกทั้งยังสามารถป้องกันโรคได้

1. ปรึกษาแพทย์

2. ตรวจแมะ: ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนการวินิจฉัยโรคของแพทย์แผนจีน โดยการใช้นิ้วทั้ง 3 นิ้วของแพทย์แตะสัมผัสชีพจรของผู้ป่วยบริเวณข้อมือซ้ายและขวาข้างละ 3 ตำแหน่ง รวมทั้งสองข้าง หกตำแหน่ง เพื่อให้ทราบถึงสภาวะของร่างกายที่ตอบสนองต่อโรคภัยไข้เจ็บในขณะนั้นการแพทย์แผนจีนเรียกขั้นตอนการวินิจฉัยโรคพื้นฐานว่า “เปี้ยนเจิง” มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน การแมะ หรือการตรวจจับชีพจรนั้นถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวินิจฉัยโรค ซึ่งกว่าจะถึงขั้นตอนของการแมะ มี 3 ขั้นตอน

3.ฝังเข็มรักษาโรค: การฝังเข็มคือ การแทงเข็มลงไปบนจุดฝังเข็มตามร่างกายโดยใช้หลักการรักษาของแพทย์แผนจีน โดยเข็มที่ใช้จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็กกว่าเข็มฉีดยา จึงทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย และเป็นเข็มปลอดเชื้อแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ผู้ป่วยจึงปลอดภัยจากการติดเชื้อ

4. กระตุ้นไฟฟ้า: เป็นการรักษาอาการปวดของกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ ได้ทั้งแบบชนิดเรื้อรัง และแบบเฉียบพลัน ซึ่งวิธีการรักษาจะนำขั้ว Electrode pad ติดตรงตำแหน่งที่มีอาการเจ็บปวด จากนั้นนักกายภาพบำบัดจะปรับเลือกการรักษาตามอาการ โดยการทำงานของเครื่องจะมีการปล่อยกระแสไฟฟ้าที่มีความถี่ที่เหมาะสมออกมา ลดอาการปวดของกล้ามเนื้อ ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยจะนิยมใช้ เครื่องกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนังเพื่อลดปวด (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation :TENS) ส่วนใหญ่ให้ผลในการลดปวด โดยกระตุ้นเส้นประสาทรับความรู้สึกมากกว่ากระตุ้นเส้นประสาทยยนต์

5. โคมไฟอินฟาเรด: เป็นการขจัดสารพิษที่ตกค้างตามชั้นผิวหนังในชั้นเนื้อเยื่อและในกระแสเลือด ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด อีกทั้งยังลดอาการปวดบวมของกล้ามเนื้อ โดยใช้คลื่นอินฟาเรดในการให้บริการ นอกจากคุณประโยชน์ที่มากมายต่อสุขภาพภายในร่างกายแล้ว ยังรวมถึงการเผาผลาญแคลอรี่ได้ถึง 600 - 900 แคลอรี่ต่อครั้ง ซึ่งจะช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินหรือไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายอันเป็นสาเหตุหนึ่งของสุขภาพที่ไม่ดี

6. รมยาสมุนไพร: การรมยา (Moxibustion) คือการรักษาโรคด้วยการเผาสมุนไพรโกศจุฬาลัมพาแล้วนำมารมบริเวณจุดฝังเข็มตามตำแหน่งของเส้นลมปราณ การรมยาสามารถปรับสมดุลหยินหยาง ปรับสมดุลพลังชี่และเลือด อบอุ่นขับเคลื่อนเส้นลมปราณ บำรุงพลังชี่และขจัดพิษภายในร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียนของพลังและเส้นลมปราณ รวมไปถึงช่วยในเรื่องความงาม และการดูแลสุขภาพอีกด้วยอีกทั้งยังสามารถป้องกันโรคได้

1. ปรึกษาแพทย์

2. ตรวจแมะ: ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนการวินิจฉัยโรคของแพทย์แผนจีน โดยการใช้นิ้วทั้ง 3 นิ้วของแพทย์แตะสัมผัสชีพจรของผู้ป่วยบริเวณข้อมือซ้ายและขวาข้างละ 3 ตำแหน่ง รวมทั้งสองข้าง หกตำแหน่ง เพื่อให้ทราบถึงสภาวะของร่างกายที่ตอบสนองต่อโรคภัยไข้เจ็บในขณะนั้นการแพทย์แผนจีนเรียกขั้นตอนการวินิจฉัยโรคพื้นฐานว่า “เปี้ยนเจิง” มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน การแมะ หรือการตรวจจับชีพจรนั้นถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวินิจฉัยโรค ซึ่งกว่าจะถึงขั้นตอนของการแมะ มี 3 ขั้นตอน

3.ฝังเข็มรักษาโรค: การฝังเข็มคือ การแทงเข็มลงไปบนจุดฝังเข็มตามร่างกายโดยใช้หลักการรักษาของแพทย์แผนจีน โดยเข็มที่ใช้จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็กกว่าเข็มฉีดยา จึงทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย และเป็นเข็มปลอดเชื้อแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ผู้ป่วยจึงปลอดภัยจากการติดเชื้อ

4. กระตุ้นไฟฟ้า: เป็นการรักษาอาการปวดของกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ ได้ทั้งแบบชนิดเรื้อรัง และแบบเฉียบพลัน ซึ่งวิธีการรักษาจะนำขั้ว Electrode pad ติดตรงตำแหน่งที่มีอาการเจ็บปวด จากนั้นนักกายภาพบำบัดจะปรับเลือกการรักษาตามอาการ โดยการทำงานของเครื่องจะมีการปล่อยกระแสไฟฟ้าที่มีความถี่ที่เหมาะสมออกมา ลดอาการปวดของกล้ามเนื้อ ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยจะนิยมใช้ เครื่องกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนังเพื่อลดปวด (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation :TENS) ส่วนใหญ่ให้ผลในการลดปวด โดยกระตุ้นเส้นประสาทรับความรู้สึกมากกว่ากระตุ้นเส้นประสาทยยนต์

5. โคมไฟอินฟาเรด: เป็นการขจัดสารพิษที่ตกค้างตามชั้นผิวหนังในชั้นเนื้อเยื่อและในกระแสเลือด ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด อีกทั้งยังลดอาการปวดบวมของกล้ามเนื้อ โดยใช้คลื่นอินฟาเรดในการให้บริการ นอกจากคุณประโยชน์ที่มากมายต่อสุขภาพภายในร่างกายแล้ว ยังรวมถึงการเผาผลาญแคลอรี่ได้ถึง 600 - 900 แคลอรี่ต่อครั้ง ซึ่งจะช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินหรือไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายอันเป็นสาเหตุหนึ่งของสุขภาพที่ไม่ดี

6. รมยาสมุนไพร: การรมยา (Moxibustion) คือการรักษาโรคด้วยการเผาสมุนไพรโกศจุฬาลัมพาแล้วนำมารมบริเวณจุดฝังเข็มตามตำแหน่งของเส้นลมปราณ การรมยาสามารถปรับสมดุลหยินหยาง ปรับสมดุลพลังชี่และเลือด อบอุ่นขับเคลื่อนเส้นลมปราณ บำรุงพลังชี่และขจัดพิษภายในร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียนของพลังและเส้นลมปราณ รวมไปถึงช่วยในเรื่องความงาม และการดูแลสุขภาพอีกด้วยอีกทั้งยังสามารถป้องกันโรคได้

1. ปรึกษาแพทย์

2. ตรวจแมะ: ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนการวินิจฉัยโรคของแพทย์แผนจีน โดยการใช้นิ้วทั้ง 3 นิ้วของแพทย์แตะสัมผัสชีพจรของผู้ป่วยบริเวณข้อมือซ้ายและขวาข้างละ 3 ตำแหน่ง รวมทั้งสองข้าง หกตำแหน่ง เพื่อให้ทราบถึงสภาวะของร่างกายที่ตอบสนองต่อโรคภัยไข้เจ็บในขณะนั้นการแพทย์แผนจีนเรียกขั้นตอนการวินิจฉัยโรคพื้นฐานว่า “เปี้ยนเจิง” มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน การแมะ หรือการตรวจจับชีพจรนั้นถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวินิจฉัยโรค ซึ่งกว่าจะถึงขั้นตอนของการแมะ มี 3 ขั้นตอน

3.ฝังเข็มรักษาโรค: การฝังเข็มคือ การแทงเข็มลงไปบนจุดฝังเข็มตามร่างกายโดยใช้หลักการรักษาของแพทย์แผนจีน โดยเข็มที่ใช้จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็กกว่าเข็มฉีดยา จึงทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย และเป็นเข็มปลอดเชื้อแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ผู้ป่วยจึงปลอดภัยจากการติดเชื้อ

4. กระตุ้นไฟฟ้า: เป็นการรักษาอาการปวดของกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ ได้ทั้งแบบชนิดเรื้อรัง และแบบเฉียบพลัน ซึ่งวิธีการรักษาจะนำขั้ว Electrode pad ติดตรงตำแหน่งที่มีอาการเจ็บปวด จากนั้นนักกายภาพบำบัดจะปรับเลือกการรักษาตามอาการ โดยการทำงานของเครื่องจะมีการปล่อยกระแสไฟฟ้าที่มีความถี่ที่เหมาะสมออกมา ลดอาการปวดของกล้ามเนื้อ ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยจะนิยมใช้ เครื่องกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนังเพื่อลดปวด (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation :TENS) ส่วนใหญ่ให้ผลในการลดปวด โดยกระตุ้นเส้นประสาทรับความรู้สึกมากกว่ากระตุ้นเส้นประสาทยยนต์

5. โคมไฟอินฟาเรด: เป็นการขจัดสารพิษที่ตกค้างตามชั้นผิวหนังในชั้นเนื้อเยื่อและในกระแสเลือด ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด อีกทั้งยังลดอาการปวดบวมของกล้ามเนื้อ โดยใช้คลื่นอินฟาเรดในการให้บริการ นอกจากคุณประโยชน์ที่มากมายต่อสุขภาพภายในร่างกายแล้ว ยังรวมถึงการเผาผลาญแคลอรี่ได้ถึง 600 - 900 แคลอรี่ต่อครั้ง ซึ่งจะช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินหรือไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายอันเป็นสาเหตุหนึ่งของสุขภาพที่ไม่ดี

6. รมยาสมุนไพร: การรมยา (Moxibustion) คือการรักษาโรคด้วยการเผาสมุนไพรโกศจุฬาลัมพาแล้วนำมารมบริเวณจุดฝังเข็มตามตำแหน่งของเส้นลมปราณ การรมยาสามารถปรับสมดุลหยินหยาง ปรับสมดุลพลังชี่และเลือด อบอุ่นขับเคลื่อนเส้นลมปราณ บำรุงพลังชี่และขจัดพิษภายในร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียนของพลังและเส้นลมปราณ รวมไปถึงช่วยในเรื่องความงาม และการดูแลสุขภาพอีกด้วยอีกทั้งยังสามารถป้องกันโรคได้

1. ปรึกษาแพทย์

2. ตรวจแมะ: ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนการวินิจฉัยโรคของแพทย์แผนจีน โดยการใช้นิ้วทั้ง 3 นิ้วของแพทย์แตะสัมผัสชีพจรของผู้ป่วยบริเวณข้อมือซ้ายและขวาข้างละ 3 ตำแหน่ง รวมทั้งสองข้าง หกตำแหน่ง เพื่อให้ทราบถึงสภาวะของร่างกายที่ตอบสนองต่อโรคภัยไข้เจ็บในขณะนั้นการแพทย์แผนจีนเรียกขั้นตอนการวินิจฉัยโรคพื้นฐานว่า “เปี้ยนเจิง” มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน การแมะ หรือการตรวจจับชีพจรนั้นถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวินิจฉัยโรค ซึ่งกว่าจะถึงขั้นตอนของการแมะ มี 3 ขั้นตอน

3.ฝังเข็มรักษาโรค: การฝังเข็มคือ การแทงเข็มลงไปบนจุดฝังเข็มตามร่างกายโดยใช้หลักการรักษาของแพทย์แผนจีน โดยเข็มที่ใช้จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็กกว่าเข็มฉีดยา จึงทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย และเป็นเข็มปลอดเชื้อแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ผู้ป่วยจึงปลอดภัยจากการติดเชื้อ

4. กระตุ้นไฟฟ้า: เป็นการรักษาอาการปวดของกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ ได้ทั้งแบบชนิดเรื้อรัง และแบบเฉียบพลัน ซึ่งวิธีการรักษาจะนำขั้ว Electrode pad ติดตรงตำแหน่งที่มีอาการเจ็บปวด จากนั้นนักกายภาพบำบัดจะปรับเลือกการรักษาตามอาการ โดยการทำงานของเครื่องจะมีการปล่อยกระแสไฟฟ้าที่มีความถี่ที่เหมาะสมออกมา ลดอาการปวดของกล้ามเนื้อ ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยจะนิยมใช้ เครื่องกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนังเพื่อลดปวด (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation :TENS) ส่วนใหญ่ให้ผลในการลดปวด โดยกระตุ้นเส้นประสาทรับความรู้สึกมากกว่ากระตุ้นเส้นประสาทยยนต์

5. โคมไฟอินฟาเรด: เป็นการขจัดสารพิษที่ตกค้างตามชั้นผิวหนังในชั้นเนื้อเยื่อและในกระแสเลือด ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด อีกทั้งยังลดอาการปวดบวมของกล้ามเนื้อ โดยใช้คลื่นอินฟาเรดในการให้บริการ นอกจากคุณประโยชน์ที่มากมายต่อสุขภาพภายในร่างกายแล้ว ยังรวมถึงการเผาผลาญแคลอรี่ได้ถึง 600 - 900 แคลอรี่ต่อครั้ง ซึ่งจะช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินหรือไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายอันเป็นสาเหตุหนึ่งของสุขภาพที่ไม่ดี

6. รมยาสมุนไพร: การรมยา (Moxibustion) คือการรักษาโรคด้วยการเผาสมุนไพรโกศจุฬาลัมพาแล้วนำมารมบริเวณจุดฝังเข็มตามตำแหน่งของเส้นลมปราณ การรมยาสามารถปรับสมดุลหยินหยาง ปรับสมดุลพลังชี่และเลือด อบอุ่นขับเคลื่อนเส้นลมปราณ บำรุงพลังชี่และขจัดพิษภายในร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียนของพลังและเส้นลมปราณ รวมไปถึงช่วยในเรื่องความงาม และการดูแลสุขภาพอีกด้วยอีกทั้งยังสามารถป้องกันโรคได้

1. ปรึกษาแพทย์

2. ตรวจแมะ: ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนการวินิจฉัยโรคของแพทย์แผนจีน โดยการใช้นิ้วทั้ง 3 นิ้วของแพทย์แตะสัมผัสชีพจรของผู้ป่วยบริเวณข้อมือซ้ายและขวาข้างละ 3 ตำแหน่ง รวมทั้งสองข้าง หกตำแหน่ง เพื่อให้ทราบถึงสภาวะของร่างกายที่ตอบสนองต่อโรคภัยไข้เจ็บในขณะนั้นการแพทย์แผนจีนเรียกขั้นตอนการวินิจฉัยโรคพื้นฐานว่า “เปี้ยนเจิง” มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน การแมะ หรือการตรวจจับชีพจรนั้นถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวินิจฉัยโรค ซึ่งกว่าจะถึงขั้นตอนของการแมะ มี 3 ขั้นตอน

3.ฝังเข็มความงาม: การฝังเข็ม เพื่อความงามเป็นวิธการดูแลสุขภาพและความงามไปพร้อมกัน ซึ่งต่างกับ การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น เลเซอร์ บท็อกซ์ ฉีดสารเติมเต็ม ศัลยกรรม หรือแม้แต่ยาทาที่รักษาแต่เพียงผิวพรรณภายนอกเท่านั้น

4. กระตุ้นไฟฟ้า: เป็นการรักษาอาการปวดของกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ ได้ทั้งแบบชนิดเรื้อรัง และแบบเฉียบพลัน ซึ่งวิธีการรักษาจะนำขั้ว Electrode pad ติดตรงตำแหน่งที่มีอาการเจ็บปวด จากนั้นนักกายภาพบำบัดจะปรับเลือกการรักษาตามอาการ โดยการทำงานของเครื่องจะมีการปล่อยกระแสไฟฟ้าที่มีความถี่ที่เหมาะสมออกมา ลดอาการปวดของกล้ามเนื้อ ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยจะนิยมใช้ เครื่องกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนังเพื่อลดปวด (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation :TENS) ส่วนใหญ่ให้ผลในการลดปวด โดยกระตุ้นเส้นประสาทรับความรู้สึกมากกว่ากระตุ้นเส้นประสาทยยนต์

5. โคมไฟอินฟาเรด: เป็นการขจัดสารพิษที่ตกค้างตามชั้นผิวหนังในชั้นเนื้อเยื่อและในกระแสเลือด ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด อีกทั้งยังลดอาการปวดบวมของกล้ามเนื้อ โดยใช้คลื่นอินฟาเรดในการให้บริการ นอกจากคุณประโยชน์ที่มากมายต่อสุขภาพภายในร่างกายแล้ว ยังรวมถึงการเผาผลาญแคลอรี่ได้ถึง 600 - 900 แคลอรี่ต่อครั้ง ซึ่งจะช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินหรือไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายอันเป็นสาเหตุหนึ่งของสุขภาพที่ไม่ดี

6. รมยาสมุนไพร: การรมยา (Moxibustion) คือการรักษาโรคด้วยการเผาสมุนไพรโกศจุฬาลัมพาแล้วนำมารมบริเวณจุดฝังเข็มตามตำแหน่งของเส้นลมปราณ การรมยาสามารถปรับสมดุลหยินหยาง ปรับสมดุลพลังชี่และเลือด อบอุ่นขับเคลื่อนเส้นลมปราณ บำรุงพลังชี่และขจัดพิษภายในร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียนของพลังและเส้นลมปราณ รวมไปถึงช่วยในเรื่องความงาม และการดูแลสุขภาพอีกด้วยอีกทั้งยังสามารถป้องกันโรคได้